สวัสดีครับ วันนี้ จะมาอัพเดทเทรนด์ของการ ดึงหน้า ในปัจจุบันและก็ในอนาคตครับ
ศัลยกรรม ดึงหน้า FACELIFT
ปัจจุบันนี้ ทุกคนก็คงปฏิเสธไม่ได้เลยเวลาเราจะเลือกซื้อสินค้าหรือว่าจะเลือกใช้บริการอย่างใดอย่างหนึ่งเนี่ย สิ่งที่เราคำนึงถึงก็คือเรื่องของประสิทธิภาพว่าประสิทธิภาพสูงจริงหรือเปล่า ของดีไหม
ประเด็นที่ 2 ก็คือเรื่องของการคุมค่าใช้จ่าย หรือว่าเวลาที่เราเสียไปนั่นเอง
การดึงหน้า ก็เช่นกัน ทุกคนก็คงจะต้องการในสิ่งที่มากกว่านั้น เรื่องแรกเลยที่ทุกคนต้องการก็คือเรื่องของความปลอดภัยของการดึงหน้า ว่าขอให้เกิดภาวะแทรกซ้อนให้น้อยที่สุด อย่างเช่นเรื่องของแผลเป็น เรื่องที่2 ก็คือเรื่องของการพักฟื้น ดึงหน้าแล้วทุกคนก็คงอยากจะพักฟื้นในระยะเวลาที่สั้นจะได้กลับไปใช้ชีวิตปกติหรือว่าทำงานต่อได้เอง
เป็นเรื่องที่ 3 ก็คือเรื่องของผลของการดึงหน้าเนี่ยทุกคนก็คงอยากจะได้ผลออกมาอย่างย้อนวัยหนุ่มสาว อย่างเนียนเนียนแบบธรรมชาตินั่นเอง สำหรับคนที่จะตัดสินใจดึงหน้า หรือว่าอาจจะผิดหวังมาจากนอนอินเวสีโพซิเลอบางอย่าง ในเรื่องของไฮฟูอาร์เอส ฟิลเลอร์ หรืออาจจะเป็นเรื่องของโบทูลินุ่มท็อกซิน แก้ปัญหาตัวเองไม่ได้แล้วก็จะตัดสินใจดึงหน้าเนี่ยลองมาฟัง เทรนด์และก็ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการดึงหน้าดู
เทคนิคการดึงหน้า ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด แล้วก็ผลของการผ่าตัดออกมาเนี่ยแล้วก็ธรรมชาติที่สุด คือการผ่าตัดดึงหน้าแบบแผลยาว หรือว่า Full Facelift
แต่จะต้องดึงแบบชั้นลึกๆ ก็คือดึงชั้น SMAS สแมช โดยเฉพาะเทคนิคที่ดีที่สุดก็คือเทคนิคให้ ดึงหน้า SMAS นั่นเอง เทคนิคนี้ จะสามารถแก้ปัญหาในเรื่องของร่องแก้มลึก ยกมุมปาก แก้มย้วยหรือว่าหมาจู ได้อย่างชัดเจน จึงเหมาะสำหรับคนที่จะตัดสินใจดึงหน้าในครั้งแรก แล้วก็คนที่อยากจะสวยจบแก้ปัญหา 3 4 อย่างที่กล่าวมาทั้งหมด
ข้อที่ 2 ปัจจุบันยังไม่มีนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีได้ ที่จะมามีผลเท่ากับการดึงหน้าแบบดิบแพลน ถ้าเกิดว่าเราหวังผลในระดับเดียวกัน
ข้อที่ 3 เทคนิคการผ่าตัดดึงหน้าแบบแผลสั้น ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการลงแผลผ่าตัดบริเวณไรผมบริเวณขมับ มินิเฟสลิฟท์ หรือจะเป็นเรื่องของการ ดึงหน้า แบบแผลสั้นบริเวณแค่รอบใบหู มีข้อจำกัด สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของใบหน้าในเฉพาะจุดเท่านั้น ไม่ สามารถจะแก้ปัญหาทุกจุดบนใบหน้าได้
ยกตัวอย่างเช่น การผ่าตัดเทคนิคแบบมินิเฟสลิฟท์ ถ้าจะผ่าตัดตามแนวไรผมบริเวณขมับเท่านั้น วิธีนี้ สามารถแก้ปัญหาในเรื่องของหางคิ้วตก ผิวหนังบริเวณใต้ตาที่หย่อนคล้อยให้ตึงขึ้น แต่ไม่ สามารถที่จะยกมุมปาก
แก้ปัญหาแก้มย้วยหรือว่าร่องแก้มที่ลึกได้ อีกอย่างหนึ่ง กรณีที่ดึงตรงนี้มากเกินไปผลเสียก็คือแผลผ่าตัดจะตึง ค่อนข้างมากมีโอกาสเป็นแผลเป็นสูง และที่สำคัญเนี่ยบางครั้งจะทำให้กรอบตารีเล็กลง ดูไม่เป็นธรรมชาติอีก
กรณีหนึ่ง คือการผ่าตัดดึงหน้าแบบแผลสั้น คือลงแผลผ่าตัดเฉพาะบริเวณรอบของใบหู ก็สามารถแก้ปัญหาเฉพาะในเรื่องของมุมปาก แก้มย้วยกรอบหน้าแต่ก็ไม่ สามารถที่จะแก้ปัญหาในเรื่องของร่องแก้มลึกได้ จึงเหมาะสำหรับคนที่มีปัญหาในเรื่องของการผ่าตัดครั้งแรกแล้วไม่ได้ผล เป็นการผ่าตัดที่จะเก็บตกนั่นเอง
ข้อสุดท้าย ข้อ 4 เทคนิคการดึงหน้าแบบ Full Facelift โดยที่เราดึงเนื้อเยื่อชั้นลึก แบบเทคนิคไฮสแมชเนี่ย ไม่ได้มีข้อจำกัด แล้วก็ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด สามารถที่จะเริ่มดึงหน้าแบบนี้ได้ตั้งแต่อายุ 15 จนถึง 55 ปี และการผ่าตัดไม่จำเป็นจะต้องมีระยะพักฟื้นที่ยาวนานเหมือนสมัยก่อน
และที่สำคัญคนไข้ สามารถที่จะเลือกดึงหน้าแบบใช้ยาชาเฉพาะที่ ทำในคลินิกหรือจะเลือกดมยาสลบแบบในโรงพยาบาลก็ได้ ที่สำคัญเทคนิคการดึงหน้าแบบนี้เนี่ยมีประสิทธิภาพสูงสุด ในเรื่องของการแก้ปัญหาร่องแก้มลึก ยกมุมปากที่ตก แก้ปัญหาเรื่องของแก้มย้วย มีผลพลอยได้คือทำให้บริเวณคอส่วนบนตึงขึ้นด้วย
ทำให้กรอบของหน้าและคอเนี่ยแยกกันได้อย่างชัดเจน คือกรอบหน้าชัดนั่นเอง สำหรับบทความนี้ ก็ขอฝากไว้ให้พิจารณากันเพียงเท่านี้ก่อนนะครับ พบกันใหม่คราวหน้ากับสาระดีๆแบบนี้กัน
𝐅𝐚𝐜𝐞𝐥𝐢𝐟𝐭 ศัลยกรรมดึงหน้า เริ่มต้น 79,000 บาทเท่านั้น ปรึกษาโรงพยาบาลเอเซีย ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://www.รีวิวโรงพยาบาลเอเซีย.com